เมนู

กัลยาณกรรมจำนวนมาก มีอยู่แก่บุคคลแม้อื่นอีก กรรมเหล่านั้น
ไม่พึงให้ผลแก่ผู้ตั้งอยู่ในอุปธิวิบัติ. แต่ว่า บุคคลนั้นตั้งอยู่ในอุปธิสมบัติด้วย
กัลยาณกรรมอย่างหนึ่ง คือ มีรูปงาม น่าดู เช่นกับรูปพรหม กัลยาณกรรมเหล่า
นั้นชื่อว่าย่อมให้ผล เพราะความที่บุคคลนั้นตั้งอยู่ในอุปธิสมบัติ. ถ้ากรรมนั้น
เกิดในราชสำนัก ทั้งที่พระเชษฐาทั้งหลายแม้มีอยู่ อัตภาพของผู้อันกรรมให้
เกิดขึ้นแล้วนี้ ย่อมเป็นของสำเร็จแล้วด้วยดี ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมอภิเษก
ผู้นั้นนั่นแหละในราชสมบัติโดยความหวังว่า เมื่อเรายกเศวตฉัตรขึ้นแก่ผู้นี้แล้ว
ความผาสุกจักมีแก่ชาวโลก ดังนี้. ผู้เกิดในบ้านของอุปราช เป็นต้น ย่อมได้
ความเป็นอุปราช โดยกาลอันล่วงไปแห่งบิดา ซึ่งเป็นตำแหน่งเสนาบดี ตำแหน่ง
ขุนคลัง หรือตำแหน่งเศรษฐี.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงทราบว่า กัลยาณกรรมเหล่านี้
ไม่อาจให้ผล เพราะอุปธิวิบัติห้ามไว้ แต่ย่อมให้ผล เพราะอาศัย
อุปธิสมบัติ ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้.

กัลยาณกรรมจำนวนมาก มีอยู่แก่บุคคลแม้อื่นอีก กรรมเหล่านั้นไม่
พึงให้ผลแก่ผู้ตั้งอยู่ในกาลวิบัติ. แต่ว่า บุคคลนั้นเกิดในกาลสมบัติด้วยกัลยาณ-
กรรมอย่างหนึ่ง คือ ในกาลแห่งพระราชาทรงธรรม และมนุษย์ผู้ใจดี. กัลยาณ-
กรรมย่อมให้ผลแก่บุคคลผู้เกิดนั้น เพราะการสำเร็จแห่งกาลเช่นนั้น ในข้อนี้
พึงทราบเรื่องของพระเถระ ชื่อว่า มหาโสณะ เป็นอุทาหรณ์.

เรื่องพระเถระ ชื่อว่า มหาโสณะ


ได้ยินว่า ภิกษุมีจำนวนหนึ่งหมื่นสองพันรูป อาศัยอยู่ที่จิตตลบรรพต
ซึ่งมีภัยแต่พราหมณ์ (ผู้เป็นโจร) ชื่อว่า ติสสะ. ในติสสะมหาวิหาร ก็เหมือน

กัน. ในมหาวิหารแม้ทั้งสอง พวกหนูใหญ่ทั้งหลายพากันมากัดผ้าในเวลาราตรี
สิ้นเวลาสามปี แล้วนำไปไว้ที่สักว่ากองแกลบ. ภิกษุสงฆ์ที่จิตตลบรรพต คิดว่า
เราจักอาศัยผ้าในติสสมหาวิหาร จึงออกจากวิหารด้วยประสงค์ว่า เราไปแล้ว
จักอาศัยอยู่ในที่นั้น ดังนี้. ฝ่ายภิกษุสงฆ์แม้ในติสสมหาวิหาร ก็คิดว่า เรา
จักอาศัยผ้าในจิตตลบรรพต ออกจากวิหารด้วยประสงค์ว่า เราไปแล้วจักอาศัย
อยู่ในที่นั้น ดังนี้. ภิกษุแม้ทั้งสองพวกก็มาพบกันที่ฝั่งแห่งซอกเขาลึกแห่งหนึ่ง
จึงถามกันและกันแล้ว ทราบแล้วซึ่งความที่ผ้าเป็นของหมดสิ้นไปแล้ว ภิกษุ
ทั้งหมด 24,000 ได้ปรึกษากันว่า พวกเราจักทำอย่างไร ดังนี้. หมู่แห่งภิกษุ
(บางพวก) ก็เข้าไปสู่ป่าอันเป็นซอกเขาลึก นั่งแล้วก็ปรินิพพานด้วยนิพพาน
ธาตุอันเป็นอนุปาทิเสสะ โดยกิริยาที่นั่งแล้วนั่นแหละ.
ภายหลัง ครั้นเมื่อภัยสงบแล้ว ภิกษุสงฆ์อาศัยท้าวสักกเทวราช แล้ว
รวบรวมพระธาตุทังหลายทำเป็นเจดีย์. แม้โจรแต่พราหมณ์ ชื่อว่า ติสสะ
ก็ทำลายชนบทแล้ว. สงฆ์ประชุมกัน ปรึกษาแล้ว จึงส่งพระเถระ 8 รูปไป
สู่สำนักของท้าวสักกะว่า ขอพระองค์ จงห้ามโจร ดังนี้. ท้าวสักกเทวราช
ตรัสว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โจรเกิดขึ้นแล้ว โยมไม่อาจเพื่อจะห้าม
ขอสงฆ์จงไปสู่ทางทะเลข้างหน้า โยมจักกระทำอารักขาสมุทร (ทะเล). สงฆ์
ไปสู่นาคทีปะแต่ทิศทั้งปวง ให้ผูกแพใหญ่ 3 ชั้น ที่เมืองท่าชื่อชัมพุโกละ.
แพชั้นหนึ่งจมลงในน้ำ ภิกษุสงฆ์นั่งอีกชั้นหนึ่ง ตั้งบาตรและจีวรไว้อีกชั้น
หนึ่ง. พระเถระทั้ง 3 รูป ผู้เป็นประธานบริษัทเหล่านั้น คือ พระจูฬสิว-
เถระ
ผู้ชำนาญสังยุตตนิกาย อิสิทัตตเถระ และ มหาโสณเถระ. บรรดา
พระเถระเหล่านั้น พระเถระสองรูปกล่าวเชิญ พระมหาโสณเถระ ว่า ข้า
แต่ท่านมหาโสณะผู้มีอายุ ท่านจงก้าวขึ้นแพใหญ่เถิด ดังนี้. พระมหาโสณเถระ

กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ท่านเล่า. พระเถระทั้งสองกล่าวว่า ผู้มีอายุ
ความตายในน้ำก็ดี ความตายบนบกก็ดี ก็เท่ากันนั่นแหละ พวกเราจักไม่ไป
แต่ท่านอาศัยแพนั้นแล้ว จักดำรงสืบต่อพระศาสนาในอนาคต ผู้มีอายุ ท่าน
จงไปเถิด ดังนี้. พระมหาโสณเถระ แม้กล่าวถึง 3 ครั้งว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
เมื่อท่านทั้งสองไม่ไป กระผมจักไม่ไป เมื่อพระเถระทั้งสอง ไม่อาจยังพระ-
เถระให้ขึ้นแพ จึงพากันกลับแล้ว.
ลำดับนั้น พระจูฬสิวเถระ กล่าวกะ พระอิสิทัตตเถระว่า ผู้
มีอายุ อิสิทัตตะ ท่านอาศัยพระมหาโสณะแล้ว การสืบต่อแห่งพระศาสนาจัก
ตั้งอยู่ในอนาคต ท่านจงอย่าปล่อยมือจากพระโสณเถระ (หมายความว่า ให้
แนะนำสั่งสอน) พระอิสิทัตตเถระกล่าวกะพระจูฬสิวเถระว่า ก็ท่านเล่าขอรับ
ดังนี้ พระจูฬสิวเถระกล่าวว่า ผมจักไปไหว้มหาเจดีย์ ดังนี้. พระจูฬสิวเถระ
กล่าวสอนพระเถระทั้งสองแล้ว ก็เที่ยวจาริกไปโดยลำดับจนถึงมหาวิหาร.
ในสมัยนั้น มหาวิหารว่างเปล่าจากภิกษุสงฆ์. ต้นไม้ละหุ่งเกิดขึ้นที่ลานของ
พระเจดีย์. พระเจดีย์มีพุ่มไม้ทั้งหลายแวดล้อมแล้ว มีสาหร่ายเกี่ยวพันแล้ว.
พระเถระไหว้มหาเจดีย์ราวกะแสดงความนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ยัง
ทรงพระชนม์อยู่ แล้วเข้าไปสู่ศาลาทางทิศปัจฉิม (ตะวันตก) เมื่อแลดู นั่งตรึก
อยู่ว่า ที่บรรจุพระสรีรธาตุของพระศาสดาผู้ถึงแล้วซึ่งความยิ่งใหญ่ด้วยลาภ-
สักการะด้วยยศอันยิ่งใหญ่ชื่อเห็นปานนี้ ไม่มีที่พึงแล้วหนอ ดังนี้.
ลำดับนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้อันไม่ไกลจากที่นั้น ถือเอาทะนาน
ข้าวสารและงบน้ำอ้อย ไปสู่สำนักของพระเถระ ด้วยรูปของมนุษย์ด้วยฤทธิ์
แล้วเรียนถามพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านจะไปที่ไหน ดังนี้.

พระเถระกล่าวว่า ดูก่อนอุบาสก อาตมาจักไปสู่ทิศทักษิณ (ใต้)
ดังนี้.
เทวดากล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แม้กระผมก็ประสงค์จะไปในที่
นั้นนั่นแหละ เราจักไปพร้อมกัน ดังนี้.
พระเถระกล่าวว่า อาตมามีกำลังทราม จักไม่อาจเพื่อจะไปตาม
อัชฌาสัยของท่านได้ ท่านจงไปก่อนเถิด อุบาสก ดังนี้.
เทวดากล่าวว่า แม้กระผมก็จักไปตามอัชฌาสัยของพระคุณเจ้า ดังนี้
แล้วได้รับเอาบาตรและจีวรของพระเถระมาถือไว้.
ก็ในกาลเป็นที่ขึ้นไปสู่สะพานอ่างเก็บน้ำชื่อว่า ติสสะ พระเถระให้
นำบาตรมาแล้วทำน้ำดื่ม เทวดาก็ได้ทำน้ำดื่มถวายแล้ว พอพระเถระมีกำลัง
ตั้งอยู่ในเหตุสักว่า การดื่มแล้วนั่นแหละ เทวดาย่นแผ่นดินให้ถึงวิหารร้าง
หลังหนึ่ง ในที่ใกล้ เวณุนที แล้วปัดกวาดสถานที่ถวายแด่พระเถระ. วันรุ่ง
ขึ้น พอพระเถระล้างหน้าเสร็จ เทวดาก็หุงข้าวยาคูถวาย เมื่อพระเถระดื่มยาคู
แล้ว เทวดาก็หุงภัตน้อมเข้าไป. พระเถระกล่าวว่า อุบาสก ท่านจงตั้งไว้เพื่อ
ท่านเถิด แล้วเอามือปิดบาตร. เทวดากล่าวว่า กระผมจักไม่ไปไกล แล้วจึง
เอาภัตใส่ในบาตรของพระเถระนั่นแหละ เมื่อพระเถระทำภัตกิจเสร็จแล้ว
เทวดาก็ถือเอาบาตรและจีวรเพื่อดำเนินไปสู่ทางที่จะไป ย่นแผ่นดินนำไปสู่สำนัก
แห่งชัชชรนที แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นั่นเป็นที่สำหรับอยู่ของพวก
มนุษย์ผู้อาศัยใบไม้เป็นอยู่ ต้นไม้ย่อมปรากฏ กระผมจักไปข้างหน้า ดังนี้ ไหว้
พระเถระแล้ว ไปสู่ภพของตน. พระเถระอาศัยพวกมนุษย์ผู้อาศัยใบไม้
เป็นอยู่ อยู่แล้วตลอดกาลแห่งภัยแม้ทั้งปวง.

แม้ พระอิสิทัตตเถระ เมื่อจาริกไปโดยลำดับ ก็บรรลุถึงอฬชน-
บท. พวกมนุษย์ในชนบทนั้นผ่าผลมะซางซึ่งยังไม่สุกนัก ถือเอาเมล็ดในผล
แล้วทิ้งเปลือกได้ไปแล้ว. พระเถระกล่าวกะพระมหาโสณะว่า ดูก่อนท่านมหา-
โสณะ ภิกษาหารย่อมปรากฏแก่เรา ดังนี้ แล้วให้พระมหาโสณะนำบาตรและ
จีวรมา ห่มจีวรแล้ว ได้นำบาตรออกยืนอยู่แล้ว. หญิงรุ่นสาวคนหนึ่ง เห็น
พระเถระผู้ยืนอยู่ จึงคิดว่า ประโยชน์อะไร ๆ จักมีด้วยผลมะซางนี้ จึงนำผล
มะซางและเปลือกมะซางมาใส่ในบาตร แล้วได้ถวายแล้ว. พระเถระทั้งสองฉัน
แล้ว อาหารนั้นนั่นแหละได้เป็นไปตลอด 7 วัน. ลำดับนั้น ชนทั้งหลายส่ง
ข่าวเรื่องโจรมาโดยลำดับ. มนุษย์ผู้กลัวภัย ถือเอาดอกโกมุททั้งหลาย (ดอก
บัวขาว) ได้ทิ้งดอกโกมุททั้งหลายแล้วหนีไป. พระเถระกล่าวว่า ดูก่อน
ท่านมหาโสณะ ภิกษาหารย่อมปรากฏแก่เรา ดังนี้ แล้วให้นำบาตรและจีวรมา
ห่มจีวรแล้วก็นำบาตรออกมายืนอยู่. ทาริกา (หญิงสาว) ในบ้านคนหนึ่ง ทำ
ความสะอาดก้านโกมุทแล้วใส่ในบาตรถวาย. พระเถระทั้งสองฉันก้านโกมุท
แล้ว. อาหารนั้นได้พอยังอัตภาพให้เป็นไป 7 วัน พระเถระเมื่อเที่ยวไปโดย
ลำดับ ได้บรรลุถึงประตูบ้านหลังหนึ่งในที่อยู่แห่งมนุษย์ผู้อาศัยใบไม้เป็นอยู่.
มารดาและบิดาของทาริกาคนหนึ่งในบ้านนั้น เมื่อจะไปป่า ได้สั่งว่า
แน่ะแม่ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไร ๆ ย่อมมาในที่นี้ เจ้าจงอย่าให้ท่านไปในที่ไหน ๆ
จงบอกที่เป็นที่อยู่แก่พระผู้เป็นเจ้า ดังนี้. ทาริกานั้น เห็นพระเถระทั้งสองแล้ว
จึงรับบาตรและนิมนต์ให้นั่ง. ขึ้นชื่อว่า ธัญชาติในบ้านไม่มีอยู่ ทาริกานั้น
จึงถือเอามีดไปทุบเปลือกต้นมะกล่ำและต้นกล้วยป่าพร้อมกับเครือเถาและใบผัก
มารวมกันทำให้เป็นก้อน 3 ก้อน วางก้อนหนึ่งลงในบาตรของพระอิสิทัตตเถระ
วางก้อนหนึ่งลงบนบาตรของพระมหาโสณเถระ เหยียดมือออกไป ด้วยประสงค์

ว่า เราจักวางก้อนที่เกินลงในบาตรของพระอิสิทัตตเถระ แต่มือหมุนกลับไป
ใส่ลงในบาตรของพระมหาโสณเถระ. พระอิสิทัตตเถระกล่าวว่า กรรมอันให้
ซึ่งผล ในเพราะก้อนมะกล่ำและกล้วยป่า ในสมัยมีภัยแต่พราหมณ์ ชื่อว่า
ติสสะ จักปรากฏผลมีประมาณเพียงไร เพราะการถึงพร้อมแห่งเทศกาล ดังนี้
แล้วพระเถระทั้งสองก็ฉันก้อนเหล่านั้นด้วยกัน ได้ไปสู่ที่อยู่แล้ว. แม้ทาริกานั้น
ก็บอกมารดาและบิดาผู้มาจากป่าว่า พระเถระทั้งสองมาแล้ว และที่เป็นที่อยู่
เพื่อพระเถระทั้งสองนั้น ฉันก็บอกแล้ว ดังนี้. มารดาและบิดาแม้ทั้งสองนั้น
ไปสู่สำนักของพระเถระทั้งสอง ไหว้แล้วรับปฏิญาณ (ให้สัญญา) ด้วยคำว่า
ช้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกโยมย่อมได้ซึ่งสิ่งใดมา โยมก็จักบำรุงพระคุณเจ้าทั้งสอง
ด้วยสิ่งนั้น ดังนี้. แม้พระเถระทั้งหลายก็อาศัยชนเหล่านั้นอยู่แล้วตลอดกาลมี
ภัยทั้งปวง.
ครั้นเมื่อโจรชื่อติสสะผู้เป็นพราหมณ์ตายแล้ว ปิตุมหาราชก็ยังราชบุรุษ
ให้ยกฉัตรขึ้น. ภิกษุสงฆ์จากฝั่งสมุทรโน้น ฟังว่า ภัยสงบแล้ว ชนบทสมบูรณ์
แล้ว ดังนี้ ก็ข้ามมาด้วยเรือที่ท่าเรือชื่อว่ามหาติตถะ และได้ถามหา พระ-
มหาโสณเถระ
ว่า พระมหาโสณเถระอยู่ที่ไหน ดังนี้ แล้วได้ไปสู่สำนักของ
พระเถระ. พระเถระ (มหาโสณเถระ) มีภิกษุสงฆ์ห้าร้อยเป็นบริวาร บรรลุ
ถึงวิหารชื่อ มัณฑลาราม ในบ้าน กาลกะ. ในสมัยนั้น มีตระกูลอาศัย
อยู่ในบ้านกาลกะ 700 ตระกูล ในเวลากลางคืนเทวดาทั้งหลายเที่ยวไปบอกแก่
พวกมนุษย์ทั้งหลายว่า พระมหาโสณเถระผู้มีภิกษุเป็นบริวารห้าร้อยมาถึงมัณฑ-
ลารามวิหารแล้ว ขอชนบ้านหนึ่ง ๆ จงถวายอาหารบิณฑบาตอันเป็นของมีค่า
ควรแก่กหาปณะหนึ่ง ๆ กับด้วยผ้าสาฎกใหม่ ดังนี้. ก็ในวันรุ่งขึ้น พระเถระ
ทั้งหลายเข้าไปสู่บ้านกาลกะ เพื่อบิณฑบาต. มนุษย์ทั้งหลายนิมนต์ให้นั่งแล้ว

ได้ถวายยาคู. พระเถระ ชื่อว่า ติสสภูตะ ผู้อยู่ในมัณฑลารามเป็นสังฆเถระ
นั่งอยู่.
มหาอุบาสกคนหนึ่ง ไหว้พระสังฆเถระแล้วเรียนถามว่า ข้าแต่ท่านผู้
เจริญองค์ไหน ชื่อว่า มหาโสณะ ดังนี้. สมัยนั้น พระมหาโสณะเถระเป็นภิกษุ
ใหม่กว่าจึงนั่ง ณ ที่สุด พระสังฆเถระจึงชี้มือไปแล้วกล่าวว่า ดูก่อนอุบาสก
นั่นชื่อว่า มหาโสณะ ดังนี้ อุบาสกไหว้พระมหาโสณเถระนั้นแล้วขอรับบาตร
จากท่าน พระมหาโสณะไม่ให้. พระติสสภูตเถระ กล่าวว่า ดูก่อนท่านโสณะ
เธอย่อมไม่ทราบโดยอาการอย่างไร แม้เราก็ไม่ทราบโดยอาการอย่างนั้นนั่น
แหละ เทวดาทั้งหลาย ย่อมให้หุงภัตเพื่อผู้มีบุญทั้งหลาย เธอจงปล่อย (ให้)
บาตร จงทำการสงเคราะห์เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ดังนี้. พระโสณะเถระ
ได้ให้บาตรแล้ว. มหาอุบาสกถือเอาบาตรไปแล้วให้เต็มด้วยอาหารบิณฑบาต
อันมีราคาควรแก่หนึ่งกหาปณะ และทำผ้าสาฎกใหม่รองบาตรแล้วนำมาวางไว้ที่
มือของพระเถระ. อุบาสกแม้อื่นอีกก็ตั้งอาหารบิณฑบาตและผ้าสาฎก รวม
อาหารบิณฑบาตและผ้าสาฎกอย่างละ 700 แก่พระมหาโสณะเถระเท่านั้นได้
ถวายแล้ว.
พระมหาโสณเถระ กระทำการจัดแบ่งสิ่งเหล่านั้น แก่ภิกษุสงฆ์เรียบ
ร้อยแล้ว ก็ไปสู่มหาวิหารโดยลำดับ ครั้นบ้วนปากล้างหน้าแล้วก็ไหว้พระมหา
โพธิ์ ไหว้พระมหาเจดีย์ยืนอยู่ที่ ถูปาราม ห่มจีวรแล้วพาภิกษุผู้เป็นบริวาร
เข้าไปสู่พระนครโดยประตูด้านทักษิณ (ใต้) ได้อาหารบิณฑบาตอันมีราคาควร
แก่ 60 กหาปณะในระหว่างนั้นจนถึงทางไปสู่ศาลา. จำเดิมแต่กาลนั้นมา
ประมาณแห่งเครื่องสักการะนับไม่ได้.

ก็ในกาลวิบัติ ซึ่งมีภิกษาอันหาได้โดยยาก แม้ผลและเปลือกมะซาง
แม้ก้านดอกโกมุทก็หาได้โดยยาก แต่ในกาลสมบัติ มีลาภมากมายเห็นปาน
นี้เกิดขึ้นแล้ว ด้วยประการฉะนี้.

เรื่องวัตตัพพกนิโครธเถระ

*

ก็ภัยแต่โจรชื่อว่า ติสสะ ผู้เป็นพราหมณ์เกิดขึ้นในกาลแม้แห่ง
วัตตัพพกนิโครธเถระยังเป็นสามเณร. สามเณรและอุปัชฌาย์ของสามเณร
ไม่ได้ไปสู่สมุทรฝังโน้นแต่ได้มุ่งหน้าไปประเทศชายแดน ด้วยคิดว่า พวก
เราจักเข้าไปอาศัยมนุษย์ ผู้มีใบไม้เป็นอยู่
ดังนี้ สามเณรเป็นผู้ไม่มี
อาหารประมาณ 7 วัน เห็นลูกตาลที่ต้นตาลในที่ใกล้บ้านแห่งหนึ่ง จึงกราบ
เรียนกะพระเถระว่า ขอท่านจงรอสักครู่ ผมจักให้ผลตาลตกลงมา ดังนี้.
พระอุปัชฌาย์ (พระเถระ) กล่าวว่าสามเณร เธอเป็นผู้มีกำลังทราม อย่าขึ้น
เลย ดังนี้. สามเณรกราบเรียนว่า. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมจักขึ้น ดังนี้ แล้ว
ถือมีดเล็กปีนขึ้นต้นตาล เริ่มเพื่อจะตัดพวงแห่งลูกตาล ใบมีดหลุดตกลงมาที่
พื้นดิน.
พระเถระคิดว่า สามเณรนี้ลำบากอยู่ ขึ้นต้นตาลแล้ว ใบมีดหลุดตก
ลงมา บัดนี้เขาจักทำอย่างไร ดังนี้. สามเณร ฉีกใบตาล ฉีกแล้ว ๆ ผูกด้ามมีด
หย่อนลงมา ๆ ให้ตกลงที่พื้นดิน แล้วเรียนพระเถระว่า ท่านขอรับ เป็นการ
ดีหนอ ถ้าว่าท่านพึงส่งใบมีดให้กระผมในที่นี้ ดังนี้. พระเถระคิดว่า สามเณร
เป็นผู้ฉลาดในอุบาย ได้ส่งใบมีดให้แล้ว. สามเณรนั้น ก็ใช้มีดตัดลูกตาลทั้ง
หลายให้ตกลง. สามเณรโยนมีดและลูกตาลลงมา กำลังจะเฉาะผลตาล พระเถระ
*. ชนทั้งหลายเรียกท่านว่าผู้มั่นคงดังต้นนิโครธ